TOEFL คืออะไร จำเป็นต้องสอบทุกคนหรือไม่
TOEFL คืออะไร จำเป็นต้องสอบทุกคนหรือไม่
ในช่วงหนึ่งของการเรียนภาษาอังกฤษเราอาจต้องทำแบบทดสอบเพื่อแสดงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของเรา บางคนต้องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อความพึงพอใจว่าตัวเราเองนั้นมีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษมากพอ ในขณะที่ในบางคนอาจจะต้องใช้การทดสอบ TOEFL เพื่อรับรองความสามารถในภาษาอังกฤษของเขา เพื่อเข้าศึกษาต่อ หรือสมัครงานก็เป็นได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการสอบ TOEFL ให้มากขึ้นค่ะ
TOEFL คืออะไร
TOEFL ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language คือการสอบเพื่อวัดระดับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติหรือภาษาหลักในการสื่อสาร เพื่อศึกษาต่อในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสอน รวมถึงหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย โดยการสอบจะครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะคือการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งเรียกได้ว่า TOEFL เป็นคะแนนที่ใช้สำหรับการรับเข้าเรียน และการให้ทุนการศึกษาต่อในอเมริกาโดยเฉพาะก็ว่าได้
ทำไมต้องสอบ TOEFL
เพราะการสอบหรือการได้มาซึ่งคะแนน TOEFL จะสามารถยกระดับความสามารถภาษาอังกฤษทั้งทักษาะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน และยังเป็นประตูสู่โอกาสในการเข้าเรียน เข้าทำงานในประเทศเหล่านี้ได้ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น และสำหรับนักเรียนที่อยากสอบเข้าแพทย์ก็ยังสามารถนำคะแนน TOEFL ยื่นแทนผลคะแนน IELTS หรือ CU-TEP หรือ TU-GET ในการสอบเข้าคณะแพทย์หลักสูตรนานาชาติได้อีกด้วยค่ะ
ข้อสอบ TOEFL และเกณฑ์คะแนนมาตรฐาน
TOEFL มีการสอบ 2 รูปแบบคือ
- TOEFL iBT (Internet-based Format หรือ การสอบผ่านอินเตอร์เน็ต)
- TOEFL PBT (Paper-based หรือ การใช้กระดาษในการทำข้อสอบ)
TOEFL จะทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะคือการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน และจะใช้เวลาสอบประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง
-
การทดสอบทักษะการฟัง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Lecture และ Conversation
-
การทดสอบทักษะการพูด เป็นการบันทึกเสียงลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่างกับ IELTS เพราะไม่ได้พูดกับคนจริงๆ เหมือน IELTS ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนคือ Independent Task มีหัวข้อมาให้เลือกว่าสิ่งไหนดีกว่า กับ Integrated Task คือ ตอบตามคำถามที่ได้รับจากการฟังบทสนทนาเกี่ยวกับประกาศนั้น, ตอบตามคำถามที่ได้รับจากการที่ให้อ่านบทความ แล้วฟังการบรรยายนั้นๆ และให้ฟังการบรรยาย แล้วพูดสรุปการบรรยายที่ได้ในครั้งนั้นฟัง
-
การทดสอบทักษะการอ่าน ประกอบด้วย 3 - 4 บทความ โดยผู้สมัครสอบจะต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้อ่าน
-
การทดสอบทักษะการเขียน เป็นพิมพ์ essay ลงคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Independent Task คือ ให้อ่าน แล้วฟังการบรรยาย จากนั้นเขียนคำตอบจากสิ่งที่ได้อ่านและได้ฟ้ง กับ Independent Task เป็นการให้ผู้เข้าสอบแสดงความเห็น โดยจะมีคำถาม มาให้เลือกว่าสิ่งไหนดีกว่า ซึ่งเกณฑ์คะแนนมาตรฐานมีดังนี้ คะแนน TOEFL เริ่มจาก 0 คะแนนถึง 120 คะแนน และมาตรฐานของคะแนน TOEFL ที่มหาวิทยาลัยต้องการจะอยู่ที่ 80 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าต้องการใช้เป็น Fast Track ใน TCAS รอบ 1 ของคณะแพทย์/ทันตะ/สัตวะ/เภสัช จะต้องทำให้ได้มากกว่า 100 คะแนนนั่นเอง วิธีการสมัครสอบ TOEFL
-
สมัครสอบผ่านเว็บไซต์ https://www.ets.org/mytoefl เท่านั้นไม่มีเปิดรับนอกสถานที่เหมือนการสอบ IELTS ช่วงเวลาการจัดรอบการสอบ -กรุงเทพมหานคร จัดสอบทุกเสาร์ หรือ อาทิตย์ -เชียงใหม่ จัดสอบ 2 อาทิตย์ครั้ง -หาดใหญ่ จัดสอบ เดือนละ 1 ครั้ง -สระบุรี จัดสอบ เป็นบางรอบ -ศรีราชา จัดสอบ เป็นบางรอบ
สิ่งที่ต้องนำเข้าห้องสอบ
- บัตรประชาชนตัวจริง หรือ passport ตัวจริง และใบ Confirm ที่พิมพ์ออกมาจาก Internet
รู้ผลสอบเมื่อไร
- ผู้เข้าสอบทุกคนจะสามารถดูคะแนน TOEFL พาร์ทการอ่าน และการฟังได้ทันทีหลังสอบเสร็จ และสามารถดูได้อย่างเป็นทางการ 6 วันหลังวันสอบ TOEFL
ผลสอบหรือคะแนนสอบเก็บได้นานแค่ไหน
- ผลคะแนน TOEFL จะสามารถเก็บไว้ใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี แต่ถ้าคะแนนยังไม่เป็นที่พอใจผู้สมัครจะสามารถสอบกี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะได้คะแนนที่พึงพอใจ
ค่าสมัครสอบ TOEFL
- ค่าสมัครสอบ TOEFL อยู่ที่ 195$ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 6496.39 บาท
สถานที่สอบ TOEFL/จัดสอบที่ไหน
สถานที่สอบและช่วงเวลาการสอบจะไม่เหมือนกันเช่น ศูนย์สอบในไทย ได้แก่กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, หาดใหญ่, สระบุรี และศรีราชา ซึ่งสามารถตรวจสอบรอบการสอบและสถานที่สอบได้ที่ https://v2.ereg.ets.org/ereg/public/workflowmanager/schlWorkflow?_p=TEL
ข้อมูลจัดเต็มและน่าสนใจแบบนี้ หวังว่าทุกคนจะมีเวลาศึกษาทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ แล้วเตรียมตัวสมัครกันได้เลยนะคะ เมื่อเปิดสอบเมื่อไหร่พร้อมลุยกันได้อย่างเต็มที่เลย หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนที่ต้องการจะสอบ TOEFL นะคะ